ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากข้าราชการตำรวจซึ่งเป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจภูธรจังหวัดเลยและได้รับความเสียหายจากการที่อดีตประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจภูธรจังหวัดเลยพร้อมพวก ซึ่งได้ชักชวนให้สมาชิกเข้าร่วมโครงการ “บริหารหนี้” โดยหลอกลวงว่าจะนำเงินของสมาชิกที่ได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าวไปลงทุนเกี่ยวกับหุ้น ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนสูงและสามารถนำเงินที่ได้จากการลงทุนดังกล่าวไปชำระหนี้ให้กับสมาชิกได้ ทำให้สมาชิกหลงเชื่อและนำเงินไปให้กับอดีตประธานสหกรณ์ฯ พร้อมพวก เพื่อนำไปลงทุนในธุรกิจดังกล่าวแต่กลับไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ตกลงกันไว้ ต่อมากลุ่มผู้เสียหายจึงได้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหาแล้ว หลังจากนั้นจึงได้ทำการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและได้มีการดำเนินคดีกับอดีตประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจภูธรจังหวัดเลย พร้อมพวก ตลอดจนนำไปสู่การขออนุมัติหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องได้แก่นายเกรียงไกร เกตุพิบูลย์ และนางธิญาดา วิภาวรกานต์ ซึ่งมีพฤติการณ์ในลักษณะเดียวกัน กล่าวคือ ได้มีการหลอกลวงประชาชน โดยได้ชักชวนให้ร่วมลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับหุ้น และมีประชาชนหลงเชื่อร่วมลงทุนในธุรกิจดังกล่าวเช่นเดียวกัน
ซึ่งจากการสอบสวนพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ต้องหาเข้าข่ายลักษณะแชร์ลูกโซ่ หรือการกู้ยืมที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 4, 5, 12มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ห้าแสนถึงหนึ่งล้านบาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่
ต่อมาในวันที่ 4 กันยายน 2561 ภายใต้การอำนวยการสั่งการของ พล.ต.ท.สุรชัยควรเดชะคุปต์ ผบช.ภ.๔,พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท.หัวหน้าชุดปฏิบัติการประจำ ศปอส.ตร.,พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัยผกก.สภ.บ้านเป็ด หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 4 ศปอส.ตร.,พ.ต.อ.พงศ์ฤทธิ์ คงศิริสมบัติ ผกก.สืบสวน 3 บก.สส.ภ.4 พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. และทหาร ได้ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้ “ยุทธการขุดรากถอนโคนอาชญากรรมทำบ้านเมืองน่าอยู่” นำหมายค้นศาลปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมาย จำนวนทั้งหมด 10 เป้าหมาย 11 จุดในพื้นที่ จังหวัดขอนแก่น, จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดอุดรธานี, จังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพมหานคร ผลการปฏิบัติ ได้ดำเนินการตรวจยึดอายัด ทรัพย์สินอันเป็นความผิดมูลฐาน ตาม พ.ร.บ.การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542ประกอบด้วย 1.บ้านพร้อมที่ดินจำนวน 4 หลัง 2.รถยนต์ จำนวน 2 คัน 3.รถจักรยานยนต์ จำนวน 1 คัน 4.เอกสารโฉนดที่ดิน 20 ฉบับ และทรัพย์สินรายการอื่นๆ มูลค่ารวมทั้งหมด 61,144,450 บาท
ซึ่งต้องสงสัยว่าทรัพย์สินและเอกสารตามรายการที่ตรวจยึด มีไว้เป็นความผิดหรือมีไว้ใช้หรือได้ใช้เพื่อกระทำความผิดหรือได้มาจากการกระทำความผิด จึงได้ตรวจยึดไว้เพื่อตรวจสอบ เพื่อทำการตรวจสอบต่อไปและส่งพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบต่อไป
ต่อมาวันที่ 10 กันยายน 2561 ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.)ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดปฏิบัติการ “ยุทธการขุดรากถอนโคนอาชญากรรมทำบ้านเมืองน่าอยู่” นำหมายค้นศาลพร้อมกำลังตำรวจ ทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมาย จำนวน 6 เป้าหมาย 11 จุดในพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดขอนแก่น แลจังหวัดหนองบัวลำภู โดยผลการปฏิบัติการ ได้ดำเนินการตรวจยึดอายัด ทรัพย์สินอันเป็นความผิดมูลฐาน ตาม พ.ร.บ.การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ประกอบด้วย 1.บ้านพร้อมที่ดิน จำนวน 4 หลัง 2.คอนโดมิเนียม จำนวน 1 ห้อง 3.ร้านอาหาร (Wine 2 Gather) จำนวน 1 แห่ง 4.ร้านคาร์แคร์(D Spa Carcare) จำนวน 1 แห่ง 5.รถยนต์ จำนวน 3 คัน (รถเก๋ง 2 คัน, รถกระบะ 1 คัน) และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมูลค่ารวมทั้งสิ้น 70,000,000 บาท